บทนำ - หนังสือพลังประจำวัน

เราเคยชินกับการเห็นว่าความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล แต่ในตอนนี้เราจะเห็นพระเจ้าทรงทำงานผ่านครอบครัว แม้ว่าหลายคนในครอบครัวนั้นจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าก็ตาม เราได้เห็นพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองและทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จตลอดการโต้เถียง การแทงข้างหลังและการกระทำต่างๆเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

การได้ใช้เวลาพิจารณาครอบครัวในสมัยโบราณทำให้ฉันมีความหวังกับครอบครัวและชุมชนของตัวเอง ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยในพันปีที่ผ่านมา แต่โชคดีที่พระเจ้าก็ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงด้วย! หลายพันปีมาแล้วพระเจ้าทรงสัญญากับยาโคบ “นี่แน่ะ เราอยู่กับเจ้า และจะพิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป…” (ปฐมกาล 28:15) และวันนี้พระองค์ยังคงสัญญากับเราอย่างนั้นเหมือนกัน!

ในสองสัปดาห์ข้างหน้า เราจะได้มองดูตัวละครที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ และดูว่าพวกเขารับมือกับมือที่จัดการเขาอย่างไร และพวกเขาตอบสนองต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างไร

ผู้เขียน: เอสเธอร์ เบลี่ย์ (Esther Bailey)

เอสเธอร์ทำงานเป็นศิษยาภิบาลเด็กและครอบครัวที่โบสถ์ชุมชนชาวเด้น เมืองเกสต์เฮด ประเทศอังกฤษ ท่านเติบโตในประเทศซิมบับเว ที่ท่านได้ฝึกอบรมเป็นครูในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ในปี 1983 ท่านได้มาพักผ่อนวันหยุดที่ประเทศอังกฤษ ได้พบกับสามี และยังอยู่ต่อมาเรื่อยๆ ถึง 37 ปี ท่านกับสามีที่ชื่อจอห์นมีลูกสาว 2 คน ท่านชอบดูสัตว์ในป่า ไม่ว่าจะเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือกระต่ายในประเทศอังกฤษ หรือช้างและเสือในแอฟริกา

ใครจะเป็นผู้สนับสนุนกิจการนี้? ใครจะคาดคิดว่าความพยายามเหล่านี้จะไม่เพียงแต่อยู่รอดแต่กลับเติบโตงอกงาม มีบทบาทในการเขียนประวัติศาสตร์ และเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของมนุษย์ สองสัปดาห์ต่อจากนี้ เราจะตื่นตาตื่นใจไปกับเหล่าสาวกในยุคแรกที่กลับมารุ่งเรืองหลังจากผ่านความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูเหมือนว่า ทุกๆ ครั้งที่พวกเขาถูกโบยตี ถูกจองจำ และต้องเสียสละชีวิตเพื่อความเชื่อ พวกเขาจะมีพลังแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

ทำไมการเคลื่อนไหวนี้ถึงไม่ตายลงในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน? ดิฉันคิดว่ามีเหตุผลสามประการ ข้อแรก เนื่องจากการฟื้นคืนพระชนม์ ตามที่พระเยซูทรงกล่าวไว้ล่วงหน้า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝังและทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์อีกครั้ง มีผู้ที่ติดตามพระองค์มากมายหลายคนที่ได้เห็น ได้สัมผัส และได้ยินเสียงของพระองค์ ทำให้ความโศกเศร้าของเขาเหล่านั้นกลายเป็นความชื่นชมยินดีและความโล่งใจอย่างมิอาจบรรยายได้ ข้อที่สอง เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ด้วยและทรงทำงาน และข้อที่สาม เนื่องจากผู้ที่เชื่อในพระเยซูที่ยังคงมีชีวิตอยู่และเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ประกาศข่าวประเสริฐด้วยเสียงอันดังอย่างไม่หยุดยั้ง

ในทุกวันนี้ ข่าวประเสริฐที่บอกว่า “พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์” (5:42) ยังคงเป็นข่าวใหม่สำหรับคนอีกมากมายหลายคน ยังมีเพื่อนร่วมงาน เพื่อน ๆ และสมาชิกในครอบครัวของเราอีกกี่คนที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐง่ายๆนี้จากเรา? แล้วเราเองได้ใช้ชีวิตเป็นเหมือนผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้แล้วหรือยัง?

ผู้เขียน โจ สวินนี่ย์

โจ สวินนี่ย์ทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารคริสตจักร ที่ CPO (Christian Publishing and Outreach Ltd) เป็นนักพูดและนักเขียน หนังสือเล่มล่าสุดชื่อ Home: The Quest to Belong (Hodder & Stoughton) โจสำเร็จการศึกษาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิตด้านศาสนศาสตร์จากรีเจนท์คอลเลจ แวนคูเวอร์ และอาศัยอยู่ที่เมืองเซอร์บิทันกับสามีและบุตรสาวสองคน

วันนี้เราจะอ่านพระธรรมเล่มสุดท้ายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญา - มาลาคีซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสองเล่มในหมวดผู้เผยพระวจนะน้อยเช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ เราได้ยินพระเจ้าตรัสกับอิสราเอลชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็มและประชากรของพระเจ้าทุกหนแห่งผ่านผู้เผยพระวจนะมาลาคี (1:1) ซึ่งเขียนในช่วงเวลาประมาณ 430 ก่อนคริสตศักราชน่าสนใจที่เราได้ยินคำโต้ตอบในการตอบสนองของประชาชนและของปุโรหิตต่อพระวจนะของพระเจ้าเช่นพระองค์ได้ทรงรักเราอย่างไร? เราได้ดูหมิ่นพระนามและทำให้พระองค์เป็นมลทินอย่างไร? (1:2,7) เหตุใดพระองค์จึงไม่รับเครื่องบูชา? พวกเราทำให้พระองค์อ่อนพระทัยอย่างไร? (2:14,17) เราทั้งหลายจะทำอย่างไรถึงจะได้กลับมา? เราได้กล่าวใส่ร้ายพระองค์อย่างไร? (3:7,13)

พระธรรมมาลาคีสะท้อนให้เห็นว่าอิสราเอลในขณะนั้นไม่ได้แข็งแกร่งรุ่งเรืองแต่อยู่ในช่วงของการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยูดาห์กลายเป็นเขตปกครองในจักรวรรดิเปอร์เซีย การอยู่ภายใต้การปกครองของต่างชาติชาวอิสราเอลก็ค่อยๆสูญเสียความเชื่อในความรอดและความยุติธรรมของพระเจ้าอีกทั้งการถวายบูชาไปสถานการณ์ที่กล่าวถึงในมาลาคีใกล้เคียงกับที่กล่าวถึงในเอสราและเนหะมีย์ซึ่งรวมถึงการถวายเครื่องบูชาการถวายสิบลด (ทศางค์) การแต่งงานกับต่างชาติการหย่าร้างการกดขี่คนชายขอบฯลฯ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงตำหนิและกล่าวตักเตือนพวกเขาให้หันกลับมาหาพระองค์และพระองค์ทรงสัญญาจะกลับมาหาพวกเขา (3:7) การช่วยให้รอดและวันแห่งการพิพากษาใกล้จะมาถึงและพระองค์จะทรงส่งเอลียาห์มาทำงานแห่งการคืนดีก่อนวันแห่งพระเจ้าที่จะมาถึง (4:5)

ใน 4 บทสั้นๆของพระธรรมมาลาคีซึ่งได้บันทึกการโต้ตอบระหว่างคนกับพระเจ้าและก็ไม่ยากที่เราจะได้ยินน้ำเสียงที่บ่นหรือต่อว่าจากคนสำหรับผู้เชื่อบางคนจะอารมณ์เสียเพราะถือเป็นการกบฏ แต่พระเจ้าทรงอดทนรับไว้ในหนังสือบอกเราว่าประชาชนไม่ได้เพราะสถานการณ์ที่ลำบากตัดขาดการสื่อสารกับพระเจ้าแต่กลับยึดพระเจ้าไว้ไม่ปล่อยขอการตอบสนองจากพระเจ้าผลก็คือพระเจ้าไม่เพียงแต่ตอบสนองยังประทานพระสัญญา

ผู้เขียน: จอห์น เกรยสตัน (John Grayston)

จอห์นเป็นที่ปรึกษาทางพระคัมภีร์และศาสนศาสตร์ให้ SU และยังผูกพันกับการเขียนการเดินทางไปเทศนาและสอนจอห์นเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้นำที่ Tile Kiln Church ในเมือง Chelmsford เขามีลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว 2 คนและหลาน 7 คน

คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้หรือ? ผมก็เหมือนกัน และผมเดาว่าเปโตรสาวกขี้ใจร้อนของพระเยซูก็อาจสมัครเข้ามาร่วมด้วย

พระธรรมมาระโกซึ่งเก่าแก่ที่สุดในบรรดาพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม อาจเขียนโดยยอห์นมาระโก สาวกคนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ ท่านได้มาเป็นผู้ช่วยของเปโตรที่กรุงโรม ด้วยลักษณะการบรรยายเหมือนได้อยู่ในเหตุการณ์จริง บางทีเปโตรอาจแบ่งปันเรื่องราวที่ท่านได้ใช้เวลาอยู่กับพระเยซูให้ยอห์นมาระโกบันทึกลงไป

ใครจะไปรู้ว่าความจริงที่ในพระธรรมมาระโกปรากฎคำว่า”โดยทันที”หลายครั้งแสดงให้เห็นถึงวิธีที่เปโตรเล่าเรื่อง ลองคิดดู ท่านเป็นคน”ทำทันที”ที่ตอบสนองรวดเร็วและเด็ดขาด แม้ว่าการกระทำที่เร่งรีบของท่านบางครั้งได้กลายเป็นความผิดพลาดในเวลาต่อมา

ในบทที่ 3 ของพระธรรมมาระโก เราเห็นพระเยซูในลักษณะของคนทำงาน ทรงสอน ทรงรักษาโรค ไม่ว่าที่นั่น ที่นี่และทุกๆที่ ดูเหมือนจะทรงรักษาโรคมากกว่าสอนเสียอีก แต่มาระโกก็ได้แสดงให้เราเห็นด้วยว่าพระเยซูทรงเป็น”พระเจ้าแห่งการกระทำ” เพราะแผ่นดินสวรรค์หรือพระราชอาณาจักรของพระเจ้าได้เข้ามายังโลกมาสู่ชีวิตมนุษย์ และความเข้าใจของมนุษย์ได้เปลี่ยนไปเกินกว่าจะรับรู้ได้ ที่สุดแล้ว แน่นอนที่การสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูได้เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล

ดังนั้น ในขณะที่เรากำลังไล่ตามพระเยซูจนแทบลืมหายใจไปตามชนบทต่างๆ ในสี่บทนี้

เราจะร่วมกับพระองค์ในการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้อย่างไร? คือการยอมให้พระองค์ทำให้เราประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งด้วยเรื่องราวที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว และยอมให้เรื่องเหล่านี้มีผลต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโลก

ผู้เขียน : เทอร์รี่ คลัทเทอร์แฮม (Terry Clutterham)

เทอร์รี่เป็นผู้อำนวยการด้านวัฒนธรรมและนวัตกรรมของสคริปเจอร์ยูเนียน เขามีประสบการณ์สูงในการช่วยเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงพระคำของพระเจ้า เขาหลงใหลในการช่วยให้ผู้คนศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดครบถ้วนและรับฟังสิ่งที่พระเจ้าจะตรัสกับพวกเขาผ่านพระคัมภีร์

ผู้วินิจฉัยเป็นทั้งวีรบุรุษและตัวร้ายในเรื่อง บางคนก็มีข้อบกพร่องมากกว่าความสัตย์ซื่อผลที่ตามมาคือมีความคลุมเครือด้านจริยธรรมของผู้นำบางคน ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าและหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์ พระธรรมผู้วินิจฉัยไม่ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ ผู้อ่านจึงต้องสรุปด้วยตัวเอง! ผู้เขียนเพียงแค่ย้ำเรื่องอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า แม้ท่ามกลางอนาธิปไตยของคนของพระองค์ ที่สุดแล้ว อิสราเอลไม่ได้ไม่มีกษัตริย์ในสมัยผู้วินิจฉัย แต่อิสราเอลปฏิเสธไม่ยอมรับพระเจ้าเป็นองค์กษัตรา ฟังคุ้นๆ ไหม?

ผู้เขียน: ไนเจล ฮอปเปอร์ (Nigel Hopper)

ไนเจลเป็นศาสนาจารย์แบ๊บติสต์ ปัจจุบันเป็นนักศึกษาวิจัยระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สำรวจเรื่องการแพร่กระจายและจำนวนของนกตระกูลกาในสหราชอาณาจักร เขาอาศัยในมิลตัน คีนส์กับภรรยาและลูกสองคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ยินดีต้อนรับสู่ซีรี่ส์ของพลังประจำวัน ซึ่งเราจะนำคุณเดินไปกับพระเยซูในช่วงไม่กี่วันสุดท้ายที่พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนโลกนี้ พวกเราส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับเรื่องราวในตอนนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราอาจจะคุ้นเคยน้อยกว่า ก็คือความรู้สึกของเราที่มีต่อเรื่องราวในตอนนี้ และความสำคัญที่มีต่อเราในยุคนี้ที่กาลเวลาเดินผ่านไปถึงสองพันปี เรื่องราวนี้ยังคงมีความสำคัญอยู่หรือไม่? ความคุ้นเคยทำให้เรารู้สึกเฉยชากับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่? พระเยซูคือใครและมีความสำคัญต่อเราอย่างไรในวันนี้? พระองค์ยังทรงช่วยกู้เราให้รอดได้หรือไม่?

พระคำในตอนนี้มีเนื้อหาหลักอยู่ทั้งหมดสามเรื่อง โดยสองเรื่องจะเขียนถึงในโน้ตสำหรับมาระโก 14:1-11 ในหัวข้อที่ว่า “เป็นการเสียเปล่า!” ขอเชิญชวนให้เราได้ใคร่ครวญถึงเรื่องทั้งหมดว่าเป็นการไร้ประโยชน์หรือเสียเปล่าหรือไม่! การสูญเสียบุคคลคนหนึ่งคือพระเยซู และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหากเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนี้ มีหลายครั้งที่คำบรรยายกล่าวถึงการสูญเสียโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ในขณะที่พระเยซูกำลังเดินหน้าไปใกล้กางเขนยิ่งขึ้นทุกที การถามคำถามว่า “เรามีวิธีแสดงความรักของเราอย่างไร?” นั้น เป็นการเรียกให้เราใคร่ครวญถึงวิธีการที่เราแสดงออกถึงความรักของเราโดยการสังเกตวิธีการที่คนอื่นๆ แสดงออกถึงความรักที่พวกเขามีต่อพระเยซู (หรือวิธีการแสดงออกว่าไม่รักทำอย่างไร) เมื่อทราบแล้ว เราจะแสดงออกถึงความรักของเราอย่างไร แล้วเราตอบสนองต่อวิธีการต่างๆ เหล่านั้นอย่างไร

โน้ตที่เราจะอ่านในมาระโก 15:21-32 นำไปสู่เรื่องเพิ่มเติมในเนื้อหาหลักคือ “การเชื่อในสิ่งที่เห็น” เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นการหนุนใจเราให้เชื่อในสิ่งที่เราได้อ่าน แต่ให้เรามองดูและใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งผ่านตัวอักษรที่เขียนและเข้าใจถึงความสำคัญของเนื้อหาในตอนนั้นๆ ในการสำรวจใคร่ครวญนี้ เราจะค้นพบว่า แม้แต่ความล้มเหลวอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ก็ไม่อาจขวางกั้นการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ของพระเจ้า และพระองค์สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่ถาวรในจิตใจของผู้ที่รักพระองค์โดยผ่านทางพระเยซู

ผู้เขียน：จอห์น เกย์ (John Gay)

จอห์นเป็นชาวคอร์นิช สมรสแล้วและมีบุตรสองคน เขาได้ตามรอยของพระเยซู เข้ารับการฝึกฝนเป็นช่างไม้ และปัจจุบัน กำลังทำหน้าที่เป็นผู้เลี้ยงในทีมศิษยาภิบาลของ Brixham Mission Community

ขณะที่ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมอีกหลายคนมุ่งความสนใจเผยพระวจนะไปยังประชากรของพระเจ้าแต่ทั้งสามท่านนี้ต่างกัน พวกเขากล่าวตรงกับผู้ฟังที่เฉพาะเจาะจงที่มีฉากหลังที่ทุกข์ระทมจากการครอบครองของอัสซีเรียและบาบิโลน โอบาดีห์พูดกับอาณาจักรเอโดมซึ่งเป็นหนึ่งในศัตรูที่เก่าแก่ที่สุดของอิสราเอล ลูกหลานของเอซาวเหล่านี้ปฏิเสธการให้โมเสสและผู้คนเดินผ่านเขตแดนในขณะที่พวกเขาเดินทางมุ่งเสาะหาดินแดนแห่งพันธสัญญา (กันดารวิถี 20:14–21) และขณะนี้การพิพากษากำลังจะมาถึงในไม่ช้าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ต่อชาติที่เข้มแข็งกว่าและพระเจ้าจะปกครองเหนือพวกเขาและทรงมีอำนาจอธิปไตย (โอบาดีห์ 1:21)

สองในสามของคำเผยพระวจนะของฮาบากุกเป็นคำถามต่อว่าพระเจ้ากับคำตอบของพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะต่อว่าพระเจ้าที่ยอมให้กับความอยุติธรรมและการทุจริตและเมินเฉยต่อความทุกข์ทรมานของประชาชนของพระองค์ อย่างไรก็ตามคำเผยพระวจนะก็จบลงด้วยบทเพลงแห่งความโศกเศร้าและการสรรเสริญอันไพเราะ

นาฮูมสื่อสารประณามเมืองนีนะเวห์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์อัสซีเรีย แม้ว่ายูดาห์จะตกอยู่ภายใต้การยึดครองแต่นาฮูมก็มองเห็นอำนาจที่ปรากฏขึ้นที่จะทำลายนีนะเวห์ในเวลาต่อมาชาวบาบิโลนจะกวาดล้างชาวอัสซีเรียให้พ้นไปและจับคนของพระเจ้าไปเป็นเชลย

หนังสือสั้นๆเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและจะมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าที่เราเห็นเสมอ

ผู้เขียน: เกธินรัสเซลล์ -โจนส์ (Gethin Russell-Jones)

เกธินสวมหมวกหลายใบในชีวิตการทำงานเขาเป็นศิษยาภิบาลนักเขียนนักข่าวนักประชาสัมพันธ์ และกำลังเรียนรู้ที่จะเป็นคุณปู่

สามสัปดาห์ต่อจากนี้ไป เราทั้งหลายจะร่วมเดินทางไปกับพระเยซู เราจะไปเข้าร่วมกับเหล่าสาวกของพระเยซูในขณะที่พวกเขาติดตามพระอาจารย์ของพวกเขาไปสำรวจดินแดนในชนบทและเรียนรู้คำสอนของพระองค์ โดยตั้งต้นจากเมืองกาลิลีไปจนถึงเมืองไทระและเมืองไซดอน ตั้งแต่เมืองเบธไซดาไปจนถึงเมืองซีซารียาฟิลิปปี และท้ายที่สุดจากเมืองคาเปอรนาอุมไปยังเมืองเยรีโค ในขณะที่พระเยซูทรงมุ่งหน้าเดินเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเป็นครั้งสุดท้าย

เราสามารถแอบฟังคำสนทนาของพวกเขา ได้มองเห็นพระเยซูทรงทำงานในสถานที่ต่าง ๆ กัน และสังเกตเห็นการตอบสนองของประชาชนต่อคำสอนและพันธกิจของพระองค์ เหนือสิ่งอื่นใด เราจะได้มองเห็นวิธีการที่พระเยซูทรงฝึกฝนสาวกของพระองค์ พวกสาวกซึ่งเป็นพวกที่เรียนรู้ช้าเช่นเดียวกับพวกเราทั้งหลาย แต่มันก็มิได้ทำให้พระอาจารย์ทรงหมดความอดทนต่อพวกเขา ขณะที่คุณกำลังอ่านบทเฝ้าเดี่ยวในตอนนี้ คุณอาจมีคำถามอยู่สองข้อที่อยากถามคือ หนี่ง ฉันกำลังเรียนรู้อะไรในตอนนี้เกี่ยวกับพระเยซู และ เรื่องนี้ท้าทายชีวิตการเป็นสาวกของฉันอย่างไร

คุณอาจรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องราวในพระกิตติคุณตอนนี้เป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นจงทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงทำให้เรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่มีชีวิตชีวาสำหรับคุณ และทรงสำแดงให้คุณมองเห็นสิ่งใหม่ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ว่าคุณจะได้รับการเปิดเผยความจริงอะไรก็ตาม จงทูลขอให้พระคุณของพระเจ้าเข้ามาทำงานในชีวิตของคุณ เพื่อให้ชีวิตของคุณได้สำแดงออกถึงความเชื่อทุกๆ วัน ซึ่งเป็นวิธึที่ดีที่สุดที่จะแสดงถึงการเป็นสาวกที่แท้จริง

ผู้เขียน:โทนี่ ฮอร์สฟอล (Tony Horsfall)

โทนี่มีภรรยาชื่อ เอเวลิน ท่านเป็นผู้ประพันธ์และเป็นผู้นำในการประชุมรีทรีตในเมืองยอร์คเชียร์