บทนำ - หนังสือพลังประจำวัน

ขณะที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ สองในสามเล่มของหนังสือขายดีมักเป็นหนังสืออัตชีวประวัติเรื่องราวชีวิตของผู้คนมักจะดึงดูดเราเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการนำเสนอเรื่องราวเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของคนสำคัญพร้อมทั้งเปรียบเทียบกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของโลก เรื่องราวของโยเซฟให้มุมมองทั้งสองด้านนี้เช่นกัน ในเรื่องราวของโยเซฟนั้น เราจะได้พบทั้งข้อบกพร่อง, คุณงามความดี, การต่อสู้ ดิ้นรนภายใน, อารมณ์ที่ซับซ้อน, และ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่ยากลำบาก และในขณะเดียวกัน ชีวิตของเขาก็ดำเนินอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ ที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ เรื่องราวชีวิตของเขา คล้ายดังละครที่มีทั้งความตึงเครียด ความรุ่งโรจน์ ความตกต่ำ ความล้มเหลวและความสำเร็จ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เรื่องราวของโยเซฟจะเป็นแรงบันดาลใจของละครเพลง ละครเวทีและภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง

ในพระธรรมตอนนี้ โยเซฟเดินทางจากคานาอันไปยังอียิปต์ เขาเดินทางจากที่คุมขังขึ้นไปอยู่บนตำแหน่งที่สูง และเขาก็ยังมีการเดินทางส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือการเดินทางจากความไร้เดียงสาไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ จากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางไปสู่การมีปัญญา และจากการทรยศไปสู่การคืนดี เรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่อัตชีวประวัติของโยเซฟเท่านั้น แต่เป็นประวัติศาสตร์ของชนชาติชนชาติหนึ่งด้วย เช่นเดียวกับ

โยเซฟ อิสราเอลมักถูกประเทศเพื่อนบ้านมหาอำนาจมองว่าเป็นประเทศเกิดใหม่ที่อวดตัว และมีความคิดเหนือฐานะของตน ความท้าทายของอิสราเอลคือประเทศของเขาต้องเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างชาญฉลาดในบริบทของวัฒนธรรมต่างด้าว เพื่อจะทำให้แผนการพิเศษของพระเจ้าสำเร็จ เรื่องราวชีวิตของโยเซฟให้ความหวังกับเรา ชีวิตของเราก็อาจเป็นการเดินทางไปสู่การเจริญเติบโตภายใน และเป็นประโยชน์ในการที่เราจะรับใช้พระเจ้าและสังคมได้ บางครั้งเราอาจจะมองไม่เห็นว่าพระหัตถ์ของพระเจ้ากำลังทำงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพระองค์ในตัวเราและรอบตัวเรา แต่พระธรรมตอนนี้

กำลังสอนเราถึงปัญญา เพื่อที่เราจะนำปัญญานั้นไปใช้ในชีวิตของเรา หากเราได้ทำเช่นนั้น เราจะพร้อมให้พระเจ้าได้ใช้เราในเรื่องราวที่พระเจ้าจะทรงทำในแผนการของพระองค์

ผู้เขียน: สตีฟ ซิลเวสเตอร์ (Steve Silvester)

สตีฟ เป็นผู้นำคริสตจักรเซนต์นิคส์ ซึ่งเป็นคริสตจักรกลางใจเมืองน็อตติงแฮม ที่มุ่งสร้างสาวกของพระเยซูคริสต์ เขานำ “City Prayer” ที่ส่งเสริมการอธิษฐานร่วมกันกับหลากหลายคริสตจักรในเมือง

นักวิจารณ์สังคมกล่าวว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่แบ่งแยกกันมากขึ้น บนโซเชียลมีเดียเราจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใน 'ห้องเสียงสะท้อน’ ที่ซึ่งเปิดรับเฉพาะความคิดเห็นที่สอดคล้องกับตัวเราเอง ผลลัพธ์ที่ได้คือจะมี'พวกเรา' และ 'พวกเขา' มากขึ้น

จดหมายของอัครทูตเปาโลถึงธรรมิกชนในกรุงโรมเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์คริสเตียน เปาโลเขียนจดหมายฝากนี้ราวค.ศ. 57 ถึงคริสตจักรที่กำลังแตกแยกกรุงโรมตั้งอยู่ใจกลางยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิ์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งมีคนหลายเชื้อชาติจึงเป็นศูนย์รวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมเปาโลเป็นอัครทูตของผู้เชื่อที่ไม่ใช่ชาวยิวคือคนต่างชาติกลุ่มต่างๆ แต่ท่านได้พยายามสมานรอยแยกระหว่างผู้เชื่อชาวยิวและผู้เชื่อต่างชาติ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างสองกลุ่มนี้ใหญ่โตมาก

ในจดหมายฉบับนี้เปาโลพยายามนำทุกคนกลับมาสู่พื้นฐานเพื่อเตือนทุกคนรวมทั้งเราด้วยเช่นกันว่าท้ายที่สุดแล้วแม้เราจะมีความแตกต่างกันแต่ผู้เชื่อไม่แตกแยกผู้เขื่อต้องเป็นคนของพระเจ้าเหมือนกันหมดเราทุกคนมีธรรมชาติบาปและต้องการความรอดอย่างยิ่งยวดความรอดนี้มาทางพระเยซูคริสต์ในสภาพของเนื้อหนังความจริงอันนี้นั้นเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง

นักศาสนศาสตร์ออกัสตินแห่งฮิปโปในยุคกลางตอนต้นได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หลังจากอ่านข้อความจากโรมบทที่ 13 ที่กระตุ้นให้เขาทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่าและ 'สวมชีวิตพระคริสต์' นี่เป็นสาระสำคัญของความคิดเห็นที่แสดงออกในพระธรรมโรมคือการ 'สวมใส่พระคริสต์' ทำให้เราเปลี่ยนแปลงจากรากเลยเพื่อเราจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความแตกต่างอีกต่อไปแต่ความจริงนี้จะหลอมรวมเราเข้าด้วยกันในพระเยซูคริสต์

ผู้เขียน: มิเชล สมาร์ท (Michele Smart)

มิเชลเป็นนักเขียนและบรรณาธิการ เธออาศัยอยู่แถบชายหาดทางตอนเหนือของซิดนีย์กับสามีและลูกๆสองคนกับสุนัข เธอยังเล่นกระดานโต้คลื่นได้ไม่ดีนัก

ในพระธรรมโรมมีข้อความหลายตอนที่มีชื่อเสียงและสวยงามที่สุดในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลดล็อกหรือเข้าใจอาจารย์เปาโลผู้เขียนเสมอไป บางทีข้อพระคัมภีร์สำคัญเหล่านี้จากบทที่ 6 จะช่วยอธิบายได้

พิจารณาดูว่า … ‘เมื่อเราได้ตายจากบาปแล้ว เราจะยังใช้ชีวิตอยู่ในความบาปนั้นอีกต่อไปได้อย่างไร?’ (โรม 6:2) ‘ใครก็ตามที่ตายไปแล้วได้รับการปลดปล่อยจากบาป’ (โรม 6:7) ‘อย่าปล่อยให้บาปครอบงำร่างกายที่ต้องตายของคุณ’ (โรม 6:12) ‘อย่าเสนอส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเองเพื่อทำบาป’ (โรม 6:13) ดังนั้น เราได้ตายจากความบาปหรือไม่? เราเป็นอิสระหรือเรายังคงต่อสู้กับมันอยู่? คำตอบต่อคำถามทั้งสองคือ ‘ใช่’!

ยินดีต้อนรับสู่โลกของ "ได้แล้วและยังไม่ได้" เราอยู่ระหว่างการต่อสู้ที่ได้เกิดขึ้นและชี้ขาดแล้ว (การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู การคืนพระชนม์ และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์) กับชัยชนะสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น (เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา) ความบาปและความตายได้ถูกทำให้พ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ถูกทำลายไป สถานะของเราและอนาคตของเราจึงไม่ต้องเป็นที่สงสัย แต่ศัตรูยังคงหาเหยื่ออยู่รอบ ๆ ชีวิตของเราในพระคริสต์ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานภายในเรา เปลี่ยนแปลงเรา และรับประกันความหวังในอนาคตของเรา แต่เรายังคงต้องต่อสู้กับความผิดบาป

เราเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างกลาง เปาโลต้องการให้เรายืนอยู่บนฐานที่มั่นคงของสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำไปแล้ว ในขณะที่รอคอยสิ่งที่พระเจ้ายังไม่เสร็จสิ้นอย่างกระตือรือร้นและอดทน ขณะที่เรารอคอย พระวิญญาณทรงกำลังทำงานอยู่ภายใน ทำให้เรามีลักษณะที่เหมือนหรือสอดคล้องกับพระเยซู คุณพร้อมที่จะเข้าร่วมหรือไม่?

ผู้เขียน: เบ็นกรีน (Ben Green)

เบ็น กรีนแต่งงานกับเจส และพวกเขาอาศัยอยู่ใน Amington (Staffordshire) ซึ่งเขาเป็นศาสนาจารย์ในนิกายแองกลิแคนและเธอเป็นหมอ เมื่อมีเวลาจากงานประจำ เขามักตัดหญ้าหรือเขียนซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และเขาก็ชอบเดินขึ้นภูเขา (ของจริง) เล่นเปียโน และปล่อยให้ Jess เป็นผู้วางแผนวันหยุดพักผ่อน

ในสัปดาห์ครึ่งต่อจากนี้ไป พวกเราจะพบกับการเดินทางเคียงข้างไปกับประชากรที่พระเจ้าทรงรักยิ่ง นั่นคือประชากรอิสราเอล ในการเดินทางครั้งนี้ จะแสดงให้พวกเราได้มองเห็นถึงความเจ็บปวด ความยากลำบาก และความไม่แน่นอน แต่ก็จะแสดงให้พวกเราได้เห็นถึงพระเจ้าผู้ทรงรักประชากรของพระองค์ด้วย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์และทรงควบคุมอยู่เหนือทุกเหตุการณ์ และจะทรงเป็นผู้มีชัยในที่สุด เมื่อพวกเราเพ่งสายตาของพวกเราไปที่พระเจ้าเท่านั้น และยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ พวกเราก็จะได้รับการเสริมกำลังใจเช่นเดียวกัน

พระธรรมปฐมกาลได้จบลงด้วยเรื่องมรณกรรมของโยเซฟ และประชากรของพระเจ้าในอิยิปต์ โดยที่พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม ประชากรอิสราเอลมีความเจริญรุ่งเรืองในสมัยที่โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ในอิยิปต์ แต่ในพระธรรมอพยพ เราได้พบกับกษัตริย์อิยิปต์พระองค์ใหม่ ผู้ทรงมิได้รู้จักกับโยเซฟ (อพยพ 1:8) นอกจากพระองค์จะทรงมิได้แสวงหาการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว พระองค์ยังกลับเพิ่มการกดขี่ให้แก่ชนชาติอิสราเอลมากขึ้นอีกด้วย เพื่อทำให้พวกเขาหยุดยั้งการแพร่ขยาย พวกเราจะใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ ว่ามันมีความหมายต่อชนชาติอิสราเอลอย่างไร และมันยังอาจมีความหมายต่อพวกเราและต่อโลกของพวกเราอย่างไรด้วย

โมเสสเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในตอนนี้ แม้ท่านจะเป็นผู้ที่มีปมด้อยและมีข้อบกพร่อง แต่พระเจ้าก็ยังทรงเรียกใช้ท่าน ในหกบทแรกของพระธรรมอพยพนั้น ส่วนหนึ่งเป็นบทสนทนาอันยืดยาวระหว่างโมเสสกับพระเจ้า ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่พระเจ้าทรงตรัสกับโมเสสด้วยวิธีการเช่นนี้ และยังทรงรู้จักกับโมเสสอย่างเป็นการส่วนพระองค์ด้วย ทั้งยังทรงประทานคำปลอบประโลม และทรงประทานหมายสำคัญที่เสริมกำลังใจให้แก่ท่านอีก ในอีกไม่กี่วันต่อไปนี้เมื่อพวกเราอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ ก็ขอให้พวกเราทั้งหลายได้รับประสบการณ์ถึงความรักและการจัดเตรียมของพระเจ้า รวมถึงการมีประสบการณ์ในความบริสุทธิ์และฤทธิ์เดชของพระองค์ด้วย

ผู้เขียน: ลูอิส คิง (Luis King)

ลูอิส อาศัยอยู่กับครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอในเมืองเชฟฟิลด์ เธอรักการเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรที่เป็นเสมือนครอบครัวของเธอ และชื่นชอบในการพบปะกับผู้คน ในการจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ และการอ่านหนังสือในร้านกาแฟ

ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปกับชาวอิสราเอล อาจจะไกลสักหน่อย ลองนึกถึงภาพยนตร์อย่างเรื่องอินเดียนน่าโจนส์ (Indiana Jones) หรือหนังสือหรือภาพยนตร์จากพงศาวดารแห่งนาร์เนีย (The Chronicles of Narnia) มีทั้งพวกวิทยาคมผู้ใช้เวทมนตร์คาถาไฟพายุการต่อสู้และภัยพิบัติ นี่คือเรื่องราวบางส่วน

เมื่ออ่านข้างต้นแล้วคุณอาจจะพูดว่า‘มันเกี่ยวอะไรกับตัวฉัน?’ หรือคุณอาจจะพูดว่า‘และเกี่ยวข้องอะไรกับพระเยซูด้วย?’ คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้คือ…เยอะมาก! เราจะเห็นว่าพระเจ้าทรงห่วงใยประชาชนของพระองค์ เราจะได้พบกับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ที่ใส่ใจในความยุติธรรม บทเหล่านี้ในพระธรรมอพยพแสดงให้เห็นว่ามีความต้องการการช่วยกู้และอิสรภาพ พระเจ้าทรงแสดงให้ประชาชนของพระองค์เห็นว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาพระองค์ได้และจะพบกำลังในพระองค์

รู้สึกเหนื่อยล้าจากการต่อสู้หรือ? บางทีคุณอาจสงสัยว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรระหว่างที่คุณเผชิญกับการทดลอง หรือสงสัยว่าพระเจ้าจะช่วยให้คุณดำเนินชีวิตโดยพระคุณของพระองค์อย่างไร

ให้เราได้พบกำลังใจและปีติยินดีจากบทเหล่านี้ในพระธรรมอพยพ เพราะรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นในเรื่องเหล่านี้เป็นนิมิตบอกล่วงหน้าถึงผู้ช่วยกู้ที่ยิ่งใหญ่ของเราเราจะระลึกถึงวิธีที่พระเจ้าทรงไถ่บาปประชากรของพระองค์ผ่านการเสียสละของพระเมษโปดกเราจะได้เห็นว่าพระเจ้าทรงช่วยกู้คนของพระองค์ให้พ้นจากความเป็นทาสและความสิ้นหวังอย่างไร และเตือนเราว่าพระเยซูจะเป็นผู้ปกป้องและผู้ช่วยกู้ที่สุดของเราพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราและทรงรักประชาชนของพระองค์

เตรียมพร้อมและสนุกไปกับการผจญภัยที่เป็นการอพยพ

ผู้เขียน: คลิฟพาร์แนล (Clive Parnell)

คลิฟเป็นศิษยาภิบาลเป็นนักร้องและผู้แต่งเพลงอาศัยอยู่ที่เมือง Edinburgh แต่งงานและมีลูก 3 คน ซึ่ง 2 คนบรรลุนิติภาวะแล้วเขาสนุกกับการวิ่งฟุตบอลกาแฟและงานศิลปะ

อพยพเป็นหนังสือที่แบ่งได้เป็นสองตอนกว้าง ๆ คือส่วนที่เริ่มจากจุดเริ่มต้นจนถึงบทที่ 15:21 เป็นการบอกเล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งของพวกทาสฮีบรูที่ถูกข่มเหงภายใต้การปกครองของฟาโรห์ทรราชในยุคอียิปต์โบราณ ในความทุกข์ยากนั้น พวกทาสฮีบรูได้ร้องคร่ำครวญ และพระเจ้าของพวกเขาทรงได้ยินความสิ้นหวังของพวกเขา พระองค์ทรงลงมือทำการแทนพวกเขา ทรงปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ เพื่อให้พวกเขาได้เริ่มต้นเดินทางออกไปสู่อนาคตที่ไม่มีความแน่นอนภายใต้การนำของโมเสส

ส่วนที่เราจะอ่านในช่วงนี้ (15:22-27:1-21) เราจะเดินทางมุ่งหน้าต่อไปกับชนชาติอิสราเอล การเดินทางนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น คนอิสราเอลใช้เวลาหลายชั่วอายุคนในการเรียนรู้จักการอยู่อย่างทาส ดังนั้น พวกเขาไม่มีความเข้าใจเลยว่าการเป็นไทคืออะไร การต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากปลอกดักแด้ของการเป็นทาสที่รัดเขาไว้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะนี้ เมื่อพวกเขามีอิสระแล้ว พวกเขาคือใครกันเล่า? การจะตอบคำถามนี้ได้ คนอิสราเอลต้องเรียนรู้ว่าตัวตนของพวกเขาผูกพันอย่างแน่นหนากับคำตอบของคำถามที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือ พระเจ้าองค์นี้ที่ทรงเข้ามาทำการแทนพวกเขา ทรงแทรกแซงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เป็นใครกัน? ทำไมพระองค์ต้องใช้ความพยายามมากมายเช่นนี้เพื่อปลดปล่อยพวกเขา? พระองค์เห็นอะไรในพวกเขา? และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแบบไหนกัน? กลับไปกลับมาหรือสัตย์ซื่อ? โหดร้ายหรือเมตตา?

ขณะที่เราเดินทางไปกับอิสราเอล ผ่านเรื่องท้าทายต่าง ๆ ของทะเลทราย ไปสู่การพบกับพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย เราจะได้เรียนรู้คำตอบสำหรับคำถามพื้นฐานสองประการไปด้วยกันกับพวกเขา คือคำถามว่า “เราคือใคร”และ “พระเจ้าของเราคือใคร”

ผู้เขียน: เดวิด ลอว์เรนซ์ (David Lawrence)

เดวิดเป็นศิษยาภิบาลซึ่งทำงานสอนอยู่ที่ธอร์นเบอรี่แบ๊บติสต์เชิร์ช (Thornbury Baptist Church) ใกล้เมืองบริสตอล เขาแต่งงานแล้วและมีลูก ๆ ที่แต่งงานแล้วสามคน และมีหลานอีกหกคน เขาทำธุรกิจจัดสวนและงานไม้ควบคู่ไปกับงานรับใช้ที่ธอร์นเบอรี่

ฉันจำได้ว่าวันหนึ่งที่โรงเรียน มีเพื่อนของฉันคนหนึ่งซึ่งไม่เคยแสดงว่าสนใจในศาสนาเป็นพิเศษ พูดกับอนุศาสกว่า ‘ตอนนี้เขาเป็นคริสเตียนที่แท้จริงแล้ว’ เยเรมีอนุศาสกโรงเรียนคนใหม่มีความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงและเป็นคริสเตียนที่ดี แต่ฉันรู้สึกตะลึงที่เขาได้สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนของฉัน

ทำให้เกิดคำถามว่า ผู้เชื่อคริสเตียนที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร? นี่คือสิ่งที่จดหมายสั้น ๆ เหล่านี้จากตอนท้ายของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่พูดถึงด้วย 1, 2 และ 3 ยอห์น ถือว่าเป็นจดหมายจากอัครสาวกยอห์น น้องชายของยากอบ บุตรชายชาวประมงเศเบดี และเป็นสาวกคนสนิทสองคนของพระเยซู ยอห์นมีชีวิตยืนยาวอาจถึงเก้าสิบ ได้เขียนจดหมายถึง "ลูกที่รักทั้งหลาย" ดูเหมือนว่าเขากำลังแสดงบทบาท ‘รัฐบุรุษผู้อาวุโส’ ในและรอบ ๆ เมืองเอเฟซัส เป็นที่คารพนับถือและได้รับความนิยมชมชอบมาก

ยอห์นต้องการให้ผู้อ่านของเขาให้มีความเชื่อที่มั่นคงในพระคริสต์ที่แท้จริง นั่นคือ มีความยืดหยุ่นและเป็นเหมือนพระคริสต์ในโลกที่ไม่เป็นมิตร หัวข้อสำคัญ - เช่นความรักและความรู้ เชื่อและเชื่อฟัง ปรากฏเกี่ยวพันกันตลอดในจดหมายเหล่านี้ เราอาจคิดว่ายอห์น พูดซ้ำ ๆ กับตัวเองในบางครั้ง แต่เมื่อเขาหวนกลับไปนึกถึงความคิดที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เขามักจะเขียนเติมต่อไปอีกเล็กน้อย นำความท้าทายที่สดใหม่มาให้ งานเขียนของเขาเรียบง่ายอย่างดึงดูดความสนใจ (ในภาษาอังกฤษ มักเป็นเพียงพยางค์เดียว!) แต่ลึกซึ้ง ซึ่งส่องสว่างให้กับสิ่งที่เราเชื่อและชีวิตที่เราเป็นอยู่ จดหมายอภิบาลฉบับสั้น ๅ ของยูดา สะท้อนคำพูดของยอห์น หนุนใจให้เราอดทนในช่วงเวลาที่ไม่เป็นมิตร

ผู้เขียน:โรเจอร์โคมเบส (Roger Combes)

โรเจอร์ทำงานรับใช้ในลอนดอน เคมบริดจ์ และซัสเซ็กส์ตะวันออกและตะวันตก เขาและภรรยาอาศัยอยู่ใน Crawley ใกล้สนามบิน Gatwick และชนบทที่มีชื่อเสียง การเกษียณอายุการทำงานประจำหมายความว่าตอนนี้เขาสามารถรับชมกีฬาทุกประเภทได้มากขึ้น เขาสนับสนุนสโมสรฟุตบอลบอร์นมัธ มาเป็นเวลา 60 ปี

เสียงเพลงสนุกสนานที่เวียนไปเรื่อย ๆ ในการเฉลิมฉลองงานแต่งงาน กระตุ้นมุมมองของเรา เตือนเราว่า ความสมบูรณ์ของชีวิตในพระเจ้ามีอยู่ในชีวิตความเป็นอยู่ของเราในขณะนี้ ที่มีความยินดีและสุขใจในความรักและความงาม สิ่งที่ทรงสร้างและประสบการณ์ของมนุษย์ การพรรณนาอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่โรแมนติกได้สร้างความประหลาดใจและงงงวยให้กับคริสตจักรมาตลอดหลายศตวรรษ กระนั้น ณ ที่นี้ พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ตรัสกับเราในวันนี้!

เพลงซาโลมอนเป็นบทกวีรักโบราณชุดหนึ่ง ซึ่งแต่งโดยหรืออาจเขียนเพื่อกษัตริย์ซาโลมอน บรรยายเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว รูปแบบนี้เป็นเรื่องปกติของวัฒนธรรมในยุคนั้น ‘เพื่อนๆ’ เป็นการร้องรับ (Chorus) ที่สนับสนุนทั้งคู่ในขณะที่เรื่องราวหรือคำพรรณนาเปิดเผยออกมา บางคนได้ตีความหมายทางจิตวิญญาณว่าเป็นภาพความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับพระเยซู ในขณะที่หนังสือเล่มนี้เฉลิมฉลองมิติทางกายภาพของความเป็นมนุษย์ของเราอย่างชัดเจน เราจำเป็นต้องอ่านและทำความเข้าใจในบริบทของเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้มีการเชื่อมโยงโดยอ้างอิงถึงการยึดมั่นในพันธสัญญาและความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ การแต่งงานของเจ้าบ่าว (พระคริสต์) กับเจ้าสาวของเขา (คริสตจักร) เป็นสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดพันธสัญญาใหม่ และทำให้สำเร็จในวิวรณ์ (วิวรณ์ 19: 7–9)

ดังนั้น คุณจะคิดอย่างไรกับคำพูดลึกลับเหล่านี้? ท่ามกลางโลกและชีวิตที่ยุ่งเหยิงของเรา เสียงของพระเจ้าทรงเรียกเราว่า ‘มาเถิด...’ (เพลงซาโลมอน 8:14) ไม่ว่าวันนี้เรากำลังเผชิญกับความยากลำบากหรือความโศกเศร้าอะไรก็ตาม เราสามารถรู้ถึงความพึงพอใจและความมั่นคงในอ้อมกอดที่สัตย์ซื่อและเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ เพลงซาโลมอนคือเพลงแห่งความรัก...

ผู้เขียน : ทริเซียวิลเลี่ยมส์ (Tricia Williams)

’ทริเซียทำงานกับ Scripture Union มาเป็นเวลาหลายปีพัฒนางานต่างๆและเป็นบรรณาธิการหนังสือซึ่งเป็นทรัพยากรด้านพระคัมภีร์มากมาย เร็วๆนี้เธอจบปริญญาเอกวิจัยเรื่องความเชื่อกับโรคจิตเสื่อมที่มีผลต่อความสามารถในการคิดการจำและการประพฤติเธอและเอ็มลิน(สามี) เป็นสมาชิกที่แข็งขันของคริสตจักรแองกลิกันในเมืองMilton Keynes

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าสาวกภายหลังจากการตายของพระเยซูคริสต์ คุณเคยอยากค้นหาข้อมูลหรือไม่ว่าคริสตจักรเริ่มต้นจากคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้แล้วขยายออกไปทั่วโลกได้อย่างไร คำตอบอยู่ในหนังสือกิจการนี้เอง

หนังสือเล่มนี้ เริ่มต้นด้วยการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ขององค์พระเยซูคริสต์ โดยก่อนพระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ ให้พวกเขาเป็น “สักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8) และในหนังสือนี้ก็ได้แสดงให้เราเห็นถึงการแผ่ขยายออกไปของข่าวประเสริฐซึ่งเกิดขึ้นตามแผนการที่พระเยซูเคยตรัสไว้ ตอนที่เราจะศึกษากันนี้ (กิจการ บทที่ 9-12) เป็นจุดเริ่มต้นของช่วงสุดท้ายในการออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ในตอนนี้มีการบรรยายถึงเหตุการณ์อันน่าทึ่งหลายเหตุการณ์ซึ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อนที่คริสตจักรจะพร้อมสำหรับการออกไปถึง “ที่สุดปลายแผ่นดินโลก” โดยก่อนอื่น พระเจ้าต้องทำลายการสันนิษฐานเอาเองในเรื่องบางอย่างออกไป คริสเตียนรุ่นแรกทั้งหมด รวมถึงเหล่าสาวกนั้นเป็นคนยิว และพวกเขาคิดเอาเองว่าข่าวประเสริฐเป็นของคนยิวเท่านั้น พระเจ้าต้องโน้มน้าวใจเปโตรผ่านทางนิมิตเพื่อให้เขารู้ว่าพระองค์ต้องการเข้าถึงคนทุกคน

นอกจากนี้ เรายังได้เรียนรู้ถึงการกลับใจใหม่ที่น่าตื่นเต้นของเซาโล (หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อเปาโล) ผู้ซึ่งจะเดินทางออกไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว (และประกาศกับชาวยิวด้วย ดูกิจการ 14:1) โดยเขาจะเดินทางไปจนถึงดินแดนที่ปัจจุบันเป็นประเทศกรีก ตุรกี และโรม หากเหตุการ์ณเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้น พวกเราส่วนใหญ่ก็คงไม่มีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐ ดังนั้น เนื้อหาในตอนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ขอให้เราอ่านและเกิดความรู้สึกทึ่งในเรื่องราวการแผ่ขยายออกไปทั่วโลกของคริสตศาสนา โดยมีจุดเริ่มต้นที่เล็กน้อยและไม่มีความหวัง

ผู้เขียน : แคโรไลน์ เฟลตเชอร์ (Caroline Fletcher)

แคโรไลน์เป็นนักเขียนอิสระที่อาศัยอยู่ในเมืองเชฟฟิล์ด เธอสำเร็จการศึกษาปรัชญามหาบัญฑิต ด้านการศึกษาพระคัมภีร์ และเป็นครูผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนศาสนา แคโรไลน์ทำงานด้านเยาวชนและรับใช้คนทุกวัยที่คริสตจักรแองกลิกันที่เธอเป็นสมาชิกอยู่ และเธอสมรสแล้วกับบาทหลวงในคริสตจักรแองกลิกัน